ครอบครัวร่ำไห้ พ่อช็อกหมดสติ หลังรู้ข่าว จ่ามิน พลีชีพเหตุปะทะภูมะเขือ เปิดโพสต์สุดท้ายเหมือนลาง

 

วันที่ 11 ธันวาคม 2568 เกิดเหตุสลดจากเหตุปะทะบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ด้านภูมะเขือ ส่งผลให้ จ.ส.อ.อนันดา อุดร หรือ จ่ามิน อายุ 39 ปี สังกัดกองพันทหารราบที่ 3 กรมทหารราบที่ 16 (ร.16 พัน.3) กองพลทหารราบที่ 6 (พล.ร.6) ค่ายบดินทรเดชา จังหวัดยโสธร เสียชีวิตเมื่อวันที่ 9 ธันวาคมที่ผ่านมา หลังได้รับบาดเจ็บสาหัสจากสะเก็ดระเบิด BM-21 ของทหารกัมพูชา ระหว่างปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่สมรภูมิภูมะเขือ อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ ก่อนถูกนำส่งโรงพยาบาลสุรินทร์แต่ไม่สามารถยื้อชีวิตไว้ได้

ที่วัดไลย์ชัยมงคล ตำบลจะกง อำเภอขุขันธ์ จังหวัดศรีสะเกษ วัดใกล้บ้านเกิดของจ่ามิน มีพระ ทหาร และชาวบ้านร่วมกันจัดเตรียมสถานที่ประกอบพิธีทางศาสนา บรรยากาศโศกเศร้าครอบคลุมทั่วบริเวณ

เฟซบุ๊กของ จ.ส.อ.อนันดา เคยโพสต์เมื่อสองวันก่อนเกิดเหตุว่า ฟ้าพิโรธ ร้องหนัก ดังลั่นฟ้า วันที่สองแล้ว # เหตุปะทะรอบ2 และอีกโพสต์หนึ่งว่า ปะทะ1 ปะทะ2 ก็ไหวครับ ปลอดภัยดีเด้อนางแจ๋ว อายุ 53 ปี พี่สาวของจ่ามิน เล่าว่า ระหว่างกำลังพักผ่อน ได้ยินน้องสาวโทรมาบอกพ่อว่า น้องชายโดนระเบิด ทำให้ตนตกใจลุกขึ้นทันที ภาพแรกที่เห็นคือพ่อทรุดล้มหมดสติด้วยความเสียใจ ตนต้องรีบนำยาดมมาปลอบพร้อมบอกให้พ่อใจเย็นๆ หลังตั้งสติ ครอบครัวรีบตรวจสอบข้อมูลจนทราบว่าร่างของจ่ามินอยู่ที่โรงพยาบาลสุรินทร์ จึงรีบออกเดินทางทันทีโดยไม่มีใครหยิบเสื้อผ้าหรือสิ่งของใดๆ

นางแจ๋วกล่าวว่า น้องชายเป็นคนอารมณ์ดีและรักเพื่อนฝูงมาก ช่วงกลับบ้านครั้งล่าสุดในงานกฐิน เขากอดคนในหมู่บ้านหลายคนมากกว่าปกติ ลักษณะคล้ายการกอดลา แม้ไม่อาจยืนยันได้ว่ามีความหมายเช่นนั้นหรือไม่ ขณะนี้พ่อยังมึนงง พูดจาไม่ค่อยรู้เรื่องเพราะความเสียใจ จึงต้องดูแลใกล้ชิด พร้อมฝากให้หน่วยงานความมั่นคงเร่งยุติสถานการณ์โดยเร็ว ไม่อยากให้ครอบครัวใดต้องเจ็บปวดแบบเดียวกัน น้องชายรักอาชีพทหารมาก แม้ครอบครัวเคยขอให้ออกจากราชการหลายครั้งแต่เขายืนยันทำหน้าที่เพื่อชาติอย่างเต็มความสามารถ

นางอำไพร อายุ 49 ปี น้าสาวของจ่ามิน เล่าว่า เมื่อได้รับโทรศัพท์จากพ่อของจ่ามินแจ้งว่าโดนสะเก็ดระเบิด ตนตกใจร้องไห้และประสานผู้นำหมู่บ้านให้รับทราบ ก่อนเดินทางไปโรงพยาบาลสุรินทร์และเข้าไปดูอาการในห้องไอซียู เมื่อเห็นสภาพหลานก็รู้ว่าอาการหนักมากเพราะนอนไม่รู้สึกตัวครั้งสุดท้ายที่พบกันคือช่วงเดือนตุลาคมที่ผ่านมาในงานกฐิน ตนถามไถ่ถึงสภาพหลังเหตุปะทะครั้งแรก เขาบอกว่าสบายดีไม่ต้องห่วง แต่ยอมรับว่าเหตุการณ์ครั้งนั้นเกือบเอาชีวิตไม่รอด เมื่อกลับบ้านจึงให้พ่อพาไปเซ่นไหว้ปู่ย่าตายาย ญาติผู้ใหญ่ และทำพิธีผูกแขนรับขวัญตามประเพณีอีสาน

สุนัขคู่ใจชื่อมะลิ เป็นสุนัขที่หนีภัยสงครามในสมรภูมิครั้งแรกและไปคลอดใกล้ที่พักหรือหลุมหลบภัยของจ่ามิน ทำให้เขารับมาเลี้ยงด้วยความผูกพัน พาไปไหนมาไหนทุกครั้ง รวมถึงตอนกลับบ้านในช่วงกฐินด้วย สิ่งที่คล้ายลางสังหรณ์คือครั้งล่าสุด เขาเข้าไปไหว้และกอดทุกคนที่รักและเคารพ ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่ไม่เคยทำมาก่อน

นางอำไพรกล่าวทิ้งท้ายว่า หลานทำดีที่สุดแล้วในการรับใช้ชาติและปกป้องผืนแผ่นดิน ไม่ต้องห่วงพ่อหรือครอบครัวอีกต่อไป ขอให้หลับให้สบาย ส่วนตนจะดูแลทุกอย่างแทน พร้อมส่งกำลังใจให้ทหารทุกนายที่ยังปฏิบัติหน้าที่ทวงคืนแผ่นดินไทยให้กลับมาคงอยู่ดังเดิม